เก็บภาพความทรงจำ.. จดจำประสบการณ์.. จนกว่าจะพบกันใหม่อีกครั้ง :)ถ้าถามว่า ทำไมต้อง IF NOT NOW, THEN WHEN?
เพื่อความเท่หรอ เพื่อให้มันดูชิคหรอ ขอบอกว่าไม่ใช่
จริงๆเกือบมีเหตุให้ไม่ได้ไปแล้ว เกือบเสียค่าตั๋วฟรี ด้วยเหตุผลส่วนตัวนิดหน่อย
และเป็นประโยคที่ได้ใช้ชวนเพื่อนให้ไปด้วยกัน ว่าถ้าไม่ไปตอนนี้ ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ไป ..
แต่สุดท้ายก็ได้ไปหละนะ ต้องขอบคุณทุกคนมา ณ ที่นี้ด้วย ที่ผ่านช่วงเวลาร้ายๆมาด้วยกัน ..
DAY 0 (5 เมษายน 2559)
วันออกเดินทางจากประเทศไทย บินกับ TAAX เครื่องจะออกตอน 23.45 จำได้ว่าวันนั้นไปทำงาน และรีบกลับบ้านไปเอากระเป๋าเดินทาง มาถึงสนามบินประมาณ 1ทุ่มครึ่ง แม้เคาน์เตอร์เช็คอินยังไม่เปิด แต่คนต่อแถวเพื่อรอสแกนกระเป๋ายาวเหยียด ยิ่งช่วงเดินทางตรงกับช่วงวันหยุดยาวด้วย คนยิ่งมหาศาล และยิ่งคนต่อแถวยาวขนาดนี้ นั่นหมายความว่าตอนโหลดกระเป๋ายิ่งรอนานแน่นอน ควรจะเผื่อเวลากันเยอะๆด้วยนะฮะ
(ส่วนคนไหนมีบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพที่คู่กับ AA ก็ยิ่งดี เพราะจะสามารถเข้าช่อง Premium Flex เรียกว่าสบายเลยหละ ทำให้เรามีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่องมากยิ่งขึ้น เราก็ใช้วิธีนี้หละ)
พูดถึงเรื่องเสื้อผ้านิดนึง ควรใส่เสื้อผ้าให้เหมาะกับอากาศบ้านเค้าด้วย หรือจะถือพวกเสื้อโค้ท/เสื้อกันหนาวขึ้นเครื่องไปด้วยเลยก็ได้ เวลาไปถึงจะได้ไม่เสียเวลารื้อกระเป๋าเดินทางกัน และมันจะเป็นผ้าห่มชั้นดีเลยหละสำหรับตอนเรานอนหลับบนเครื่อง ตัวเราหลับๆ ตื่นๆ บนเครื่องหลายครั้ง จนรู้สึกเหมือนนอนไม่พอ แต่พอจะหลับลึกๆก็ถึงโตเกียวซะแล้ว ฮ่าๆๆ กัปตันพามาถึงก่อนกำหนดเกือบ 20 นาทีด้วย จากเวลาจริงคือ 8 โมงเช้าหนะนะ และถ้าจำไม่ผิดคิดว่าอากาศตอนนั้นประมาณ 11-13 องศา
DAY 1 (6 เมษายน 2559)
สนามบินนาริตะ พอลงเครื่องมารู้สึกอลังการณ์ ตื่นเต้นแม้จะครึ่งหลับครึ่งตื่นก็เถอะ เดินตามทางเดินยาวเพื่อไปรับกระเป๋า ไม่ต้องกลัวหลง เดินตามป้ายไปเรื่อยๆได้เลย :)
วันนี้จะเป็นวันแห่งการเดินทางแสนทรหดของพวกเรา 3 คน เพราะเราจะนั่ง Shinkansen ไปโอซาก้ากัน และถ้าถามว่าทำไมเราไม่บินไปลงคันไซเลย เหตุผลคือ เราวางแผนผิดนั่นเอง 55555 คือตอนแรกคิดว่าจะเที่ยวโตเกียวก่อน แล้วเอาคันไซไว้ตรงกลางทริป แต่ด้วยความคิดไปคิดมา ไม่อยากแบกกระเป๋าเดินทางหลายๆรอบ เลยเลือกจะเหนื่อยไปเลยในวันแรก
พอผ่าน ตม. เรียบร้อย เราก็ไปซื้อบัตร Tokyo Metro 72 Hrs. ไว้รอเลย แบบพอกลับมาโตเกียวอีกครั้ง จะได้เปิดใช้งานได้ทันที สบายๆเลย มันเป็นบัตรสำหรับใช้รถไฟใต้ดินในเขตโตเกียว เป็นแบบล่าสุดคือ 72 ชม. คุ้มเกินคุ้ม ถ้าจัดสรรเวลาเปิดใช้งานดีๆ มันคาบเกี่ยววันได้ 4 วันเลยนะ คุ้มมากกก!! และเราก็ต้องรีบไปแลก JR-Pass แบบ 7 วัน พร้อมเปิดใช้งานเลยทันที ด้วยช่วงหยุดยาวคนไทย คนแอบเยอะนิดหน่อย แต่จนท.ให้บริการดีมาก พร้อมเปิดเคาน์เตอร์ใหม่ให้เราแลกบัตรได้เร็วขึ้นด้วย และนี่เองที่ทำให้เราได้นั่ง Shinkansen ตั้งแต่แรกเริ่ม รู้สึกฟินแรงมากกกกกก ใครเปิดใช้วันแรกตั้งแต่มาถึงอย่าลืมนั่ง N'ex นะฮะ และเป็นแบบระบุที่นั่งด้วย จะได้ไม่ต้องยืนเมื่อยไปถึงโตเกียวนะ
ส่วนเราคนวางแผนไฟลท์เครื่องบินผิด เราก็นั่ง N'ex จาก Narita T2 มาลงสถานี Shinagawa ใช้เวลาประมาน 70 นาที เพราะเราศึกษามาแล้วว่าเราคงหลงทางน้อยกว่าไปลงสถานีโตเกียวแน่นอน 5555 เพราะถ้าเราลงสถานีโตเกียว แล้วหลง แล้วหาเกทไม่เจอ เดินไม่ทัน บลาๆๆ เราต้องรอรถไฟอีกรอบนานมากๆ จึงตัดสินใจมาลงสถานีนี้เองฮะ สถานีกว้าง ใหญ่ แต่ไม่ยากเกินที่จะหาเคาน์เตอร์และเกทของ Shinkansen เจอ และไม่ลืมที่จะไปจองตั๋วที่นั่งด้วย เพราะขบวนนี้ต้องนั่งยาวเกือบ 3 ชม. เลยทีเดียว
ก่อนรถไฟจะมา พวกเรายังมีเวลาเหลือให้ซื้อข้าว ซื้อขนม สำหรับไปกินบนรถไฟด้วย นี่สิความญี่ปุ่น!! ข้าวกล่องรถไฟ >< เป็นมื้อแรกในญี่ปุ่นเลย แม้จะเย็นไปหน่อยก็เถอะ ราคาข้าวกล่องมีตั้งแต่ 700y ขึ้นไปจนถึงเกือบ 1500y ก็แล้วแต่จะชอบกินกันเนอะ
บน Shinkansen มันช่างดีเหลือเกิน มีที่ชาร์ตแบต มี Free Wi-Fi (ขอ user,pwd ได้ตั้งแต่สนามบิน เราเพิ่งมารู้ตอนใกล้กลับ) มีที่วางกระเป๋าแยกกับที่นั่งชัดเจน เบาะปรับเอนนอนได้ ที่นั่งกว้างขวาง ยืดขาสบาย พอกินอิ่ม เราก็นอนหลับ หลับสนิทเลยด้วย เราคอนเฟิร์มว่าสบายกว่าบนเครื่องมาก 55555
ประมาณบ่าย 2 เราก็มาถึงสถานี Shin-Osaka ที่พักหาจาก Airbnb ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีกฎห้ามธุรกิจนี้แบบปัจจุบันอะนะ ที่พักอยู่ใกล้สถานีเลย เดินประมาณ 7-8 นาที จากทางออก Shinkansen ของสถานี Shin-Osaka วิวจากที่พักจะมองเห็นสถานีรถไฟชัดเจน
ห้องพักที่เรานอนเป็นคอนโดที่นำมาปล่อยเช่า ระบบแอร์ของที่นี่คือใช้ร่วมกันทั้งตึก ลักษณะแบบช่องแอร์ตามโรงแรมในไทยเลย ถ้าหน้าร้อนก็จะเป็นแอร์ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวแบบตอนเราไป แอร์ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นฮีตเตอร์นั่นเอง ดังนั้นก็ต้องเปิดกระจกเพื่อรับความเย็นเข้าห้อง ถ้าเป็นคนขี้ร้อนแล้วมาเจอห้องแบบนี้เราว่าคงไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ข้อเสียคือพอเปิดกระจกแล้วได้ยินเสียงรถไฟชัดเจน แม้จะอยู่ชั้นสูงมากแล้ว และกระจกหนามากๆด้วยก็ยังคงได้ยินอยู่
ราคาที่พัก เราพักที่นี่ 5 คืน ราคาเต็มคือ 14,316 บาท แต่เรามีกัน 3 คน ก็จะตกคนละ 950 บาท / คน / คืน
ห้องพัก -> ที่พักใกล้สถานี Shin-Osaka
หลังจากพักให้หายเหนื่อย กว่าพวกเราจะออกจากห้องได้ก็เกือบเย็นแล้ว มานี่แล้วเราจะอยู่เฉยๆคงไม่ได้ เราต้องเดิน เดิน และเดิน และสถานที่ที่แรกที่เราเลือกคือ Dotonburi เป็นที่แรกนั่นเอง
เรื่องตั๋วรถไฟ ด้วยความที่เราซื้อ JR-Pass และ Tokyo Metro ไปแล้ว เรารู้สึกนะว่าหมดเงินไปกับค่าตั๋วเยอะมากๆ และรวมถึงค่าตั๋วที่กำลังจะซื้อที่เกียวโตอีก เราเลยอยากใช้ JR ให้คุ้มกับ 7 วันที่เปิดมา แต่ก็ไม่ใช้หักโหมนะ อย่างจาก Shin-Osaka จะไป Numba งี้ เราแนะนำเลยว่า ใต้ดินเถอะค่ะ 280y สะดวกกว่ามาก เซฟขาไว้ แต่ถ้านั่ง JR ลง Numba ต้องเดินเท้าต่ออีกกิโลนึงได้ ไม่แนะนำเท่าไหร่ แต่ถ้าประหยัดมากๆก็จัดไป คิดว่าออกกำลังกายเนอะ
วิธีซื้อตั๋วรถไฟใต้ดิน ง่ายๆสบายมาก มองสถานีที่เราจะไป มองหาราคา แล้วกดราคาที่ตู้ หยอดเงินให้ครบ เท่านั้นก็เสร็จแล้ว ^^ และสอดบัตรแบบ BTS บ้านเราเลย โดยหันด้านที่มีลูกศรเข้าเครื่องนะฮะ
พอขึ้นจากใต้ดิน Numba อย่างแรกที่ทำคือเดินย่าน Shinsaibashi ก่อนเลย เหมือนเป็นการเช็คสต็อกสำหรับเรา คือเดินดูของที่อยากซื้อ เช็คราคา เปรียบเทียบร้าน และค่อยกลับมาใหม่วันหลัง 55555 และเป็นวันแห่งการลองชิม เห็นอะไรน่ากินก็ซื้อไปชิม ถ้าเด็ดถ้าดี จะได้ซื้อกลับไปเป็นของฝาก
เวลาเปิดทำการของร้านค้า ญี่ปุ่นจะเปิดช้า ปิดเร็ว เร็วที่ว่าคือสามทุ่มปิดละ ซึ่งต่างกะฮ่องกงมาก ที่ปิดเที่ยงคืนตีหนึ่งนู่น อันนั้นขาช็อปสนุกเลยหละ ดังนั้นก็ต้องกะเวลากันดีๆ อย่าเดินเพลินจนลืมเวลากันนะ ส่วนคืนแรกเราปิดท้ายด้วยไอติมในแฟมมิลี่มาร์ท เดินเหนื่อยๆ ก็ต้องไอติมเย็นๆเนอะ ถึงจะชื่นใจ
By. เจ้าพีฯ
MORE STORIES
[KANSAI]
DAY 1 : IF NOT NOW, THEN WHEN? BKK -> NARITA -> OSAKA
DAY 2 : RAINY DAY in OSAKA & KOBE
DAY 3 : USJ
DAY 4 : KYOTO LANDMARKS
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น