Train to Busan (Busanhaeng) [4.5/5]
Type : Action, Horror, Thriller
ด้วยเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้คนเราได้ดึงด้านลึกๆภายในจิตใจออกมาแสดง ทั้งด้านดีและเลว ..
[รีวิว]
ออกตัวก่อนว่า ไม่ชอบหนังแนวทริลเลอร์เท่าไหร่ เป็นพวกใจคอไม่ดีและไม่ถูกกับหนังผี/ซอมบี้/ฆาตกรรม อะไรทำนองนี้อย่างแรง แต่ทนเสียงกระแสไม่ไหว อยากรู้บท อยากรู้เรื่องว่าเรื่องราวยังไง คนถึงว่าดีมากกก เลยต้องไปดู และต้องเป็นดูเป็นเสียงเกาหลีด้วย เพื่อให้เปิดตาอ่านซับตลอดเวลา ทรมานตัวเองเข้าไปแบบฮาร์ดคอร์ 555
ตัวหนังดำเนินเรื่องเร็ว ไม่ต้องเล่าหรืออธิบายว่าติดเชื้อกันยังไง เพราะเริ่มมาก็คือเริ่มมีการติดเชื้อแล้ว และทุกอย่างเกิดขึ้นแค่ในวันเดียว ในรถไฟความเร็วสูงขบวนที่ไปปูซาน
เราชอบที่เหตุการณ์ได้นำคนหลากหลายประเภทมาเจอกัน และดึงด้านลึกภายในคนเหล่านั้นออกมา ไม่ว่าจะดีหรือเลวก็ตาม ซึ่งแต่ละคนมีเรื่องราว มีมุมมองของตัวเอง ทั้งการตัดสินคนจากภายนอก ความเห็นแก่ตัว ความไม่ช่วยเหลือผู้อื่น หรือ การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสุดกำลัง ความร่วมแรงร่วมใจกันเป็นทีม และความเสียสละ สิ่งเหล่านี้แหละที่เรารู้สึกว่าหนังมันดี
แต่ละซีนของหนังมีความสมเหตุสมผลในตัว การต้องเสียตัวละครบางตัวไป ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมันก็มีเหตุผลมารองรับเสมอ เราจึงไม่ค่อยยึดติดเท่าไหร่ว่าคนๆนี้ต้องอยู่จนจบ
ทั้งหมดของเรื่องราวมันจึงทำให้ภาพรวมหนังดีมากๆ จนไม่แปลกใจที่ใครๆต่างชื่นชม
ส่วนเรื่องภาพ กราฟฟิค ซาวด์ การแต่งหน้า การแสดง คือมันเรียลมาก ให้ความรู้สึกตื่นเต้น น่ากลัว ตกใจ
ส่วนข้อคิดจากหนัง เรื่องนี้ให้เยอะมากจริงๆ ทั้งการเสียสละเพื่อส่วนรวม การแสดงออกต่อคนรักในเวลาที่สามารถทำได้ การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และความเชื่อเรื่องเวรกรรม มันตามทันได้ไวจริงๆ
[สปอย]
[ความเฟลต่อหนัง]
- มีใครดูจบแล้วเสียดายลูกเบสบอลเหมือนเราไหม? เราโครตเสียดาย ตอนที่เรียนรู้ว่าซอมบี้วิ่งตามเสียง หยิบบอลมาขว้างไปทางอื่นก็หนีได้แล้วปะ แล้วในกระเป๋านั้นบอลหลายลูกมาก จากโบกี้ 9 ถึง 13 เขวี้ยงบอลสัก 3 ครั้งตอนอยู่ในอุโมงค์ก็ไม่ต้องเปลืองแรงเลย แต่จะพยายามเข้าใจว่าแบบ เออ เสนอทริคใหม่ๆนะ ปีนขึ้นที่เก็บสัมภาระไรงี้ จ้าาาา
- ซีนตอนใกล้จบ เฟลอะ คือหนังมันเริ่มมาด้วยการอัดซอมบี้ไม่ยั้ง ไม่ต้องพูดไรมาก เพราะตัวละครนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้น แต่ให้มายืนฟังคนติดเชื้อพล่ามตอนจะจบเนี่ยนะ? คือมันใช่เวลามาคุยกันเรอะ? จนสุดท้ายต้องเสียตัวละครไป เฟลตรงนี้แหละ เสียดายความสมเหตุสมผลตลอดทั้งเรื่องที่สร้างมา -.-
[ตวามรู้สึกเราต่อนักแสดง]
กงยู
- การแสดงดีอยู่แล้ว ไม่ขอพูดถึง 5555 เราจะมาพูดถึงความหล่อปัง งานดี อลังการณ์ทุกฉาก ทุกซีน โดยเฉพาะซีนอารมณ์ ยิ่งตอนใกล้จบที่แฟลชแบ๊กกลับไปตอนยังหนุ่มแล้วอุ้มลูก โอ้ยยย ใจละลายยยย
มาดงซอก
- การแสดงไร้ที่ติ ในบทสามีคนท้อง ภาพลักษณ์แรกในซีนแรก ทำให้รู้สึกดูนักเลง ดูเป็นคนไม่ดีจังวะ แต่พอซอมบี้ออกมา กลับเป็นคนแรกที่สู้ไม่ยั้ง ปลื้มอะ โครตอินกะบทบาทนี้ที่สุดละ แสดงดีมากกก
ชเวอูซิก
- เด็กหนุ่มที่น่าจับตามอง เราว่าเค้าจะดังมากยิ่งขึ้นจากบทยองกุก นักกีฬาเบสบอลที่ร่วมสู้ฝูงซอมบี้ไปกับกงยู
โซฮี
- สาวน้อยอดีต Wonder girls โตเป็นสาวแล้ว ฉากที่ชอบสุดคือฉากที่พูดขอร้องให้คนในโบกี้เปิดประตูให้เพื่อน ดราม่าขั้นสุด สายตาวิงวอน แสดงออกได้ดีมากกก บทน้องไม่เยอะ แต่ใช้อารมณ์สื่อได้ดีมากกกก
By. เจ้าพีฯ
ออกตัวก่อนว่า ไม่ชอบหนังแนวทริลเลอร์เท่าไหร่ เป็นพวกใจคอไม่ดีและไม่ถูกกับหนังผี/ซอมบี้/ฆาตกรรม อะไรทำนองนี้อย่างแรง แต่ทนเสียงกระแสไม่ไหว อยากรู้บท อยากรู้เรื่องว่าเรื่องราวยังไง คนถึงว่าดีมากกก เลยต้องไปดู และต้องเป็นดูเป็นเสียงเกาหลีด้วย เพื่อให้เปิดตาอ่านซับตลอดเวลา ทรมานตัวเองเข้าไปแบบฮาร์ดคอร์ 555
ตัวหนังดำเนินเรื่องเร็ว ไม่ต้องเล่าหรืออธิบายว่าติดเชื้อกันยังไง เพราะเริ่มมาก็คือเริ่มมีการติดเชื้อแล้ว และทุกอย่างเกิดขึ้นแค่ในวันเดียว ในรถไฟความเร็วสูงขบวนที่ไปปูซาน
เราชอบที่เหตุการณ์ได้นำคนหลากหลายประเภทมาเจอกัน และดึงด้านลึกภายในคนเหล่านั้นออกมา ไม่ว่าจะดีหรือเลวก็ตาม ซึ่งแต่ละคนมีเรื่องราว มีมุมมองของตัวเอง ทั้งการตัดสินคนจากภายนอก ความเห็นแก่ตัว ความไม่ช่วยเหลือผู้อื่น หรือ การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสุดกำลัง ความร่วมแรงร่วมใจกันเป็นทีม และความเสียสละ สิ่งเหล่านี้แหละที่เรารู้สึกว่าหนังมันดี
แต่ละซีนของหนังมีความสมเหตุสมผลในตัว การต้องเสียตัวละครบางตัวไป ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมันก็มีเหตุผลมารองรับเสมอ เราจึงไม่ค่อยยึดติดเท่าไหร่ว่าคนๆนี้ต้องอยู่จนจบ
ทั้งหมดของเรื่องราวมันจึงทำให้ภาพรวมหนังดีมากๆ จนไม่แปลกใจที่ใครๆต่างชื่นชม
ส่วนเรื่องภาพ กราฟฟิค ซาวด์ การแต่งหน้า การแสดง คือมันเรียลมาก ให้ความรู้สึกตื่นเต้น น่ากลัว ตกใจ
ส่วนข้อคิดจากหนัง เรื่องนี้ให้เยอะมากจริงๆ ทั้งการเสียสละเพื่อส่วนรวม การแสดงออกต่อคนรักในเวลาที่สามารถทำได้ การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และความเชื่อเรื่องเวรกรรม มันตามทันได้ไวจริงๆ
[สปอย]
[ความเฟลต่อหนัง]
- มีใครดูจบแล้วเสียดายลูกเบสบอลเหมือนเราไหม? เราโครตเสียดาย ตอนที่เรียนรู้ว่าซอมบี้วิ่งตามเสียง หยิบบอลมาขว้างไปทางอื่นก็หนีได้แล้วปะ แล้วในกระเป๋านั้นบอลหลายลูกมาก จากโบกี้ 9 ถึง 13 เขวี้ยงบอลสัก 3 ครั้งตอนอยู่ในอุโมงค์ก็ไม่ต้องเปลืองแรงเลย แต่จะพยายามเข้าใจว่าแบบ เออ เสนอทริคใหม่ๆนะ ปีนขึ้นที่เก็บสัมภาระไรงี้ จ้าาาา
- ซีนตอนใกล้จบ เฟลอะ คือหนังมันเริ่มมาด้วยการอัดซอมบี้ไม่ยั้ง ไม่ต้องพูดไรมาก เพราะตัวละครนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้น แต่ให้มายืนฟังคนติดเชื้อพล่ามตอนจะจบเนี่ยนะ? คือมันใช่เวลามาคุยกันเรอะ? จนสุดท้ายต้องเสียตัวละครไป เฟลตรงนี้แหละ เสียดายความสมเหตุสมผลตลอดทั้งเรื่องที่สร้างมา -.-
[ตวามรู้สึกเราต่อนักแสดง]
กงยู
- การแสดงดีอยู่แล้ว ไม่ขอพูดถึง 5555 เราจะมาพูดถึงความหล่อปัง งานดี อลังการณ์ทุกฉาก ทุกซีน โดยเฉพาะซีนอารมณ์ ยิ่งตอนใกล้จบที่แฟลชแบ๊กกลับไปตอนยังหนุ่มแล้วอุ้มลูก โอ้ยยย ใจละลายยยย
มาดงซอก
- การแสดงไร้ที่ติ ในบทสามีคนท้อง ภาพลักษณ์แรกในซีนแรก ทำให้รู้สึกดูนักเลง ดูเป็นคนไม่ดีจังวะ แต่พอซอมบี้ออกมา กลับเป็นคนแรกที่สู้ไม่ยั้ง ปลื้มอะ โครตอินกะบทบาทนี้ที่สุดละ แสดงดีมากกก
ชเวอูซิก
- เด็กหนุ่มที่น่าจับตามอง เราว่าเค้าจะดังมากยิ่งขึ้นจากบทยองกุก นักกีฬาเบสบอลที่ร่วมสู้ฝูงซอมบี้ไปกับกงยู
โซฮี
- สาวน้อยอดีต Wonder girls โตเป็นสาวแล้ว ฉากที่ชอบสุดคือฉากที่พูดขอร้องให้คนในโบกี้เปิดประตูให้เพื่อน ดราม่าขั้นสุด สายตาวิงวอน แสดงออกได้ดีมากกก บทน้องไม่เยอะ แต่ใช้อารมณ์สื่อได้ดีมากกกก
By. เจ้าพีฯ
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น